ศิลปะบำบัด…ยาวิเศษของคนทุกวัย

วันนี้ได้มีโอกาสไปอ่านบทความ บทความหนึ่ง ซึ่งมีประโยชน์ต่อหลายๆ คน ก็เลยขออนุญาตนำบทความนั้นมาเผยแพร่ต่อ กับเรื่องของ "ศิลปะบำบัด…ยาวิเศษของคนทุกวัย"


ศิลปะเป็นสิ่งที่อยู่คู่กับมนุษย์มาช้านาน และมีต้นกำเนิดจากเพียง 2 องค์ประกอบ นั่นคือจุด และเส้น

ตั้งแต่อดีตกาลมนุษย์ถ้ำเริ่มที่จะวาดผนังถ้ำเป็นรูปสัตว์หรือเรื่องราวต่างๆ ในชีวิตประจำวันตามที่พบเห็นจากธรรมชาติ หรือเป็นศิลปะที่ใช้เพื่อบูชาทางศาสนา ตั้งแต่นั้น ศิลปะก็กลายเป็นสิ่งที่เชื่อมโยงไปกับธรรมชาติของโลกใบนี้ ทุกสิ่งที่รายล้อมอยู่รอบตัวเรา ทั้งยังกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตตั้งแต่เกิดจนตาย


น่าเสียดายที่ว่าปัจจุบัน การใช้ชีวิตของคนยุคใหม่ค่อนข้างตัดขาดจากศิลปะ เราต้องอาศัยอยู่แต่ในห้องสี่เหลี่ยม ภายในเมืองใหญ่ที่มีแต่ตึกรามบ้านช่อง รถยนต์ มลพิษ และใช้ชีวิต 24 ชั่วโมงไปกับการทำงานที่เป็นกิจวัตร โดยอาจหลงลืมไปว่าเราต้องการธรรมชาติและศิลปะขนาดไหน

มีคนเคยกล่าวไว้ว่า ศิลปะ ศาสนา และธรรมชาติ เป็นสิ่งเดียวกัน เมื่อทั้ง 3 สิ่งผสมกลมกลืนกันเป็นสิ่งเดียว แนวคิดเรื่องการใช้ศิลปะเข้ามาเพื่อช่วยในการบำบัดจึงเกิดขึ้น แต่แท้จริงแล้ว ศิลปะจะช่วยเยียวยาเราได้จริงหรือ


“ศิลปะบำบัด” อาจจะเป็นชื่อที่ไม่คุ้นหูสำหรับคนไทยเท่าไรนัก แต่ในประเทศแถบยุโรปอย่างเยอรมัน ศาสตร์ดังว่านับเป็นศาสตร์หนึ่งที่เกิดขึ้นมานานนับ 100 ปี และในไทยเองก็เริ่มมีการใช้ศิลปะเพื่อการบำบัดรักษามาเป็นเวลานาน เพียงแต่ยังไม่เป็นที่รู้จักในวงกว้างมากเท่านั้น...แล้วทำไมคนเราถึงต้องการศิลปะ คำถามนี้อาจจะตอบยาก แต่ถ้าลองเปรียบเทียบกับสถานการณ์ที่เข้าใจได้ง่ายกว่า อย่างการถามว่า คุณเคยเป็นหวัดไหม แล้วคุณรักษาอาการนั้นอย่างไร คำตอบที่ได้อาจเป็นการกินยาหรือการออกไปวิ่งให้ร่างกายแข็งแรงให้หายเอง แต่หากคุณไม่ได้กำลังป่วยทางกายแบบเป็นไข้หวัด แต่เกิดเจ็บป่วยทางจิตใจ เราจะบำบัดรักษาอย่างไร


วิธีการง่ายและตรงไปตรงมาก็คือ การสรรหา “ยา” สำหรับจิตใจที่มีอยู่มากมาย และหนึ่งในนั้นก็คือ “ศิลปะ” ที่มีสรรพคุณทำหน้าที่ได้เช่นเดียวกับยาเพื่อการรักษาและบำบัด นอกจากจะเป็นตัวเลือกที่ดี ง่าย และสวยงามต่อจิตใจแล้ว ศิลปะยังมีองค์ประกอบอย่าง “สี” ที่เป็นยาชั้นดีของความรู้สึก การสรรสร้างงานศิลปะยังช่วยสร้างสติและสมาธิให้จดจ่อไปกับมือที่เคลื่อนไหวในการลากเส้น ต่อจุด ฝึกการควบคุมแรงของมือในการปั้นดิน เพราะศิลปะไม่ใช่แค่การวาดรูประบายสี แต่รวมไปถึงการกระทำใดๆ ก็ตามที่ช่วยจรรโลงจิตใจ ศิลปะจึงเป็นไปได้ทั้งดนตรี การเคลื่อนไหวของร่างกาย การพูด การเล่น และสิ่งเหล่านี้ก็เป็นเหมือนยาตามธรรมชาติสำหรับจิตใจและพัฒนาการของมนุษย์มาแต่โบราณ


"ศิลปะบำบัด" จึงเป็นการนำกระบวนการทางศิลปะมาประยุกต์ใช้ในการเยียวยาและปรับสมดุลให้กับผู้ที่ทำงานศิลปะ โดยแต่ละคนก็จะมีความเป็นปัจเจกบุคคล ในการบำบัด นักศิลปะบำบัดจะพิจารณาปัญหาที่บุคคลผู้นั้นกำลังประสบ และวิเคราะห์จากประวัติชีวิตที่ผ่านมา เพื่อหากระบวนการที่เหมาะสมแก่คนนั้นๆ และการบำบัดด้วยศิลปะจึงสามารถเยียวยาความรู้สึกหรือจิตใจของผู้คนได้หลายระดับ ตั้งแต่อาการเครียดที่เกิดจากชีวิตประจำวัน ความเร่งรีบ หรือพักผ่อนไม่เพียงพอ โดยการใช้ศิลปะเพื่อเยียวยารักษา อาจจะเริ่มที่การวาดภาพธรรมชาติ วาดภาพสิ่งที่ตัวเองรู้สึกดี วาดแล้วผ่อนคลาย เช่นลองใช้สีในโทนที่อบอุ่นวาดวิวพระอาทิตย์ตก เพื่อให้เกิดความรู้สึกผ่อนคลายและเกิดสมาธิจดจ่ออยู่กับสิ่งที่กำลังทำ


ตัวอย่างที่จะทำให้เราเข้าใจการใช้ประโยชน์จาก "ศิลปะบำบัด" ในชีวิตประจำวันกันมากขึ้น เช่นว่าปัจจุบัน มีเด็กหลายคนมีอาการสมาธิสั้น ความอดทนน้อย ทำให้การปรับตัวเข้ากับคนอื่นมีความยากลำบาก โดยระบบสมองและการใช้ความคิดของเด็กที่สมาธิสั้นนั้นจะทำงานอย่างหนัก แต่ระบบการเคลื่อนไหวร่างกายอย่างกล้ามเนื้อมือ แขน และขา กลับอ่อนแอ อาการเหล่านี้เริ่มพบเห็นได้มากในปัจจุบัน จากการติดเล่นคอมพิวเตอร์ แท็ปเล็ตและมือถือ ทำให้สมองของเด็กๆ รับรู้ข้อมูลอย่างรวดเร็ว แต่พัฒนาการทางร่างกายกลับไม่ได้รับการกระตุ้นด้วยวิธีการเล่นตามธรรมชาติอย่างการออกไปวิ่งเล่นข้างนอก หรือปีนป่ายต้นไม้ เป็นต้น 

ด้วยปัจจัยเหล่านี้ จะทำให้เด็กๆ อยู่แต่ในวังวนของระบบความคิดของตัวเอง การใช้ศิลปะบำบัดที่เหมาะสมสำหรับเด็กลักษณะนี้จึงควรมุ่งเน้นไปที่การทำให้เขาได้เคลื่อนไหวร่างกาย อย่างการลากเส้นตามรูปแบบที่กำหนดให้ โดยใช้มือทั้งสองข้างพร้อมกัน หรือการให้ระบายสีน้ำของสีสองสีเพื่อให้เรียนรู้การก้าวเข้าไปหาคนอื่นและยอมให้คนอื่นก้าวเข้ามาหาด้วยเช่นกัน


ปัญหาเรื่องการมีปฏิสัมพันธ์อาจไม่ได้เกิดขึ้นกับเด็กที่มีสมาธิสั้นเท่านั้น แต่ธรรมชาติของเด็กที่ใจร้อนก็อาจจะส่งผลต่อการสร้างความสัมพันธ์กับคนรอบข้างได้ การใช้ศิลปะเข้าไปช่วยแก้ปัญหาเด็กใจร้อนจึงควรมุ่งเน้นฝึกให้เด็กมีสติและมีการยับยั้งชั่งใจ กิจกรรมที่เหมาะกับเด็กๆ ในลักษณะนี้ก็คือการฝึกลากเส้นตามแบบเพื่อให้มีสมาธิจดจ่อมากขึ้น หรือให้ปั้นดินเหนียวเพื่อสอนให้เรียนรู้เรื่องการควบคุมแรงของตัวเอง

ส่วนเด็กที่ขี้อายและไม่มั่นใจในตนเอง งานศิลปะแทบทุกอย่างสามารถช่วยส่งเสริมความมั่นใจให้เด็กๆ เหล่านี้ได้ ด้วยการให้เด็กๆ ได้ลองทำและได้ชื่นชมผลงานของตัวเอง ส่วนหน้าที่ของผู้ใหญ่ก็คือการให้กำลังใจ และคอยส่งเสริมให้พวกเขากล้าคิด กล้าลอง และกล้าที่จะเป็นตัวเอง โดยไม่ไปตัดสินว่าถูกหรือผิด สวยหรือไม่สวย สิ่งนี้จะช่วยให้เด็กมั่นใจและมีจิตใจที่มั่นคงมากขึ้น


ไม่เพียงปัญหาของเด็กๆ เท่านั้นที่บำบัดได้ด้วยศิลปะ แต่ผู้ใหญ่อย่างเราๆ ก็มีปัญหาที่ต้องผ่านพ้นไปให้ได้เช่นกัน ผู้ใหญ่และผู้สูงอายุบางท่านที่ใช้เหตุผลในการดำเนินชีวิตมาโดยตลอด อาจรู้สึกเครียดและกดดันไม่น้อย การได้รู้จักกับสีและลองใช้ความรู้สึกกับสีในการสร้างสรรค์ศิลปะ ก็น่าจะช่วยให้ได้ต่อเติมพลังทางจินตนาการได้ไม่มากก็น้อย โดยก่อนเริ่มทำงานศิลปะ บางคนอาจจะมีความรู้สึกต่อสีในเชิงรูปธรรมอยู่ก่อน เช่น สีเหลืองจะนึกถึงดอกดาวเรือง หรือพระจันทร์ สีน้ำเงินจะนึกถึงท้องฟ้า ทะเล แต่หลังจากที่ได้ทดลองทำงานศิลปะเกี่ยวกับสี อาจจะสัมผัสได้ถึงความรู้สึกต่อสีในแง่นามธรรมและความรู้สึกที่มากยิ่งขึ้น เช่น สีน้ำเงินให้ความรู้สึกสงบและผ่อนคลาย สีเหลืองให้ความรู้สึกสดใส มีชีวิตชีวา และเมื่อได้ปล่อยความรู้สึกที่ไร้เส้นแบ่งของเหตุผลเมื่อใด คนในวัยผู้ใหญ่ก็จะเริ่มมองเห็นถึงความสวยงามของธรรมชาติที่อยู่รายล้อมเราอยู่ได้ตลอดเวลา

และหากคุณอยากลองสัมผัสกับโลกของศิลปะบำบัดแล้วล่ะก็ เพียงหยิบสีใกล้ๆ ตัวมาระบาย คุณอาจจะพบคำตอบที่ใช่เพื่อความผ่อนคลายสำหรับตัวคุณเอง


เรื่อง : สาธิต สร้อยทองเจริญ

ความคิดเห็น

  1. Gold Sledge hammer and pkg - Tutor Titanium - Titanium Art
    Gold Sledge titanium ore hammer and pkg - ecm titanium Tutor Titanium, 3D titanium mesh Printed Brass - Titanium Art - Titanium Art. We have created titanium industries a new, titanium dab tool more interactive version of the original Iron

    ตอบลบ

แสดงความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

มารู้จักภาพทัศนียภาพ - Perspective

การวาดภาพทิวทัศน์ (Landscape)

การวาดภาพทิวทัศน์แบบง่ายๆ ที่ใครๆ ก็สามารถวาดได้