ศิลปะกับพัฒนาการของเด็ก
ศิลปะจัดเป็นภาษาของมนุษย์ในอีกลักษณะหนึ่งด้วยเหตุที่ศิลปะสามารถเป็นสื่อโยงความคิดความเข้าใจต่อกันของมวลมนุษย์ได้ ศิลปะเป็นส่วนหนึ่งของการแสดงออกทางภาษา
การแสดงออกทางศิลปะมักจะแตกต่างกันออกไป ตามแนวจินตนาการและการสร้างสรรค์ของแต่ละบุคคล นักจิตวิทยาส่วนมากเชื่อว่า ความคิดสร้างสรรค์ของแต่ละบุคคลเป็นคุณสมบัติเฉพาะตัวและประจำตัว สำหรับเด็กซึ่งจะพัฒนาการไปได้มากน้อยแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับสิ่งแวดล้อมและโอกาสที่ผู้เกี่ยวข้องกับเด็กจะจัดสรรส่งเสริมให้ ความคิดสร้างสรรค์นี้จะส่งผลสะท้อนถึงเด็กในหลาย ๆ ด้าน เช่น ระดับความเชื่อมั่นในตนเอง การแสดงออกซึ่งความคิดเห็นและสติปัญญา การแสดงออกเหล่านี้เราพอจะมองเห็นได้จากการวาดภาพระบายสี การปั้น เป็นต้น
วิคเตอร์โลเวนเฟลด์ (Victor Lowenfeld) นักจิตวิทยาการศึกษาได้ทำการศึกษาค้นคว้างานทางด้านศิลปะของเด็ก และการคิดสร้างสรรค์จากงานทางศิลปะ โดยให้เด็กแสดงออกทุกอย่าง ๆ อิสระเขาทดลองกับเด็กที่มีฐานะทางเศรษฐกิจปานกลาง อายุตั้งแต่ 2 ขวบครึ่งขึ้นไป ให้เด็กวาดภาพด้วยสีเทียนจะสีอะไรก็ได้ พบว่าเด็กมีพัฒนาการในการวาดขีดเขี่ยเป็น 4 ขั้นด้วยกัน
1. ขั้นขีดเขี่ย (Scribbling Stage) ประมาณอายุระหว่าง 2-4 ปี ขั้นนี้แบ่งระยะของพัฒนาการได้ออกเป็น 4 ขั้น คือ
1.1 Disorder Scribbling (2 ปี) การขีดเขียนยังเป็นแบบสะเปะสะปะ กล่าวคือ การขีดเขียนจะเป็นเส้นยุ่งเหยิง โดยปราศจากความหมาย ทั้งนี้เนื่องจากการประสานงานของกล้ามเนื้อยังไม่ดี เช่น การบังคับกล้ามเนื้อเล็ก ๆ ยังทำไม่ได้ จะทดลองง่าย ๆ โดยให้เด็กวัยนี้กำมือ แล้วให้เด็กยกนิ้วมือทีละนิ้ว หรือสองนิ้วก็ได้ เด็กจะทำได้ไม่ได้ หรือลองให้เด็กชกเรา เด็กจะยกแขนชกพร้อม ๆ กัน ทั้ง 2 แขน เป็นต้น
1.2 Longitudinal Scribbling ขั้นขีดเป็นเส้นยาว เด็กจะเคลื่อนแขนขีดได้เป็นเส้นแนวยาว ขีดเขี่ยซ้ำ ๆ หลายครั้ง ทั้งแนวตั้งและแนวนอน แสดงให้เห็นถึงพัฒนาการทางกล้ามเนื้อว่าเด็กค่อย ๆ ควบคุมกล้ามเนื้อของการเคลื่อนไหวของตนเองให้ดีขึ้น ระยะนี้เด็กจะเริ่มรู้สึกสนุกและสนใจเป็นครั้งแรก
1.3 Circular Scribbling เป็นขั้นที่เด็กสามารถขีดลากเป็นวงกลม ระยะนี้การประสานงานของกล้ามเนื้อ(mortor coodination) ดีขึ้น การประสานงานของกล้ามเนื้อมือ และสายตา (Eye-hand coodination) ดีขึ้น เด็กสามารถขีดเส้น ซึ่งมีเค้าเป็นวงกลมเป็นระยะ เด็กเคลื่อนไหวได้ตลอดทั้งแขน
1.4 Noming Scribbling ขั้นให้ชื่อรอยขีดเขียน การขีดเขียนชักมีความหมายขึ้น เช่น จะวาดรูป น้อง พี่ พ่อ แม่ ซึ่งเป็นสิ่งที่อยู่ใกล้ตัวเด็ก ขณะขีดเขียนไปเด็กก็จะบรรยายไปด้วยถ่ายทอดออกมาในรูปการขีดเขียนและความคิดคำนึงในภาพ
พัฒนาการทั้ง 4 ระยะนี้ ย่อมขึ้นอยู่กับเด็กแต่ละบุคคลไม่คงตัวเสมอไป เด็กที่มีพัฒนาการขึ้นเร็วจะถึงขั้น Nomimg Scribbling ก่อน ซึ่งนับเป็นขั้นพัฒนาการที่สำคัญมาก จากการใช้ความนึกคิดในการเคลื่อนไหวของเด็ก ทั้ง ๆ ที่ภาพนั้นจะไม่เป็นรูปร่างดังกล่าวเลย ซึ่งเด็กจะบรรลุถึงขึ้นนี้เมื่อใกล้ 4 ขวบ
2. ขั้นเริ่มขีดเขียน (Pre-Schematic Stage) (4-7 ปี) เป็นระยะเริ่มต้นการขีดเขียนภาพอย่างมีความหมาย การขีดเขียนจะปรากฏเป็นรูปร่างขึ้น สัมพันธ์กับความจริงของโลกภายนอกมากขึ้น มีความหมายกับเด็กมากขึ้น ซึ่งจะสังเกตได้จาก
2.1 คนที่วาดอาจเป็น พ่อ แม่ พี่ น้อง ตุ๊กตาที่รัก ฯลฯ
2.2 ชอบใช้สีที่สะดุดตา ไม่คำนึงถึงความเป็นจริงตามธรรมชาติ แล้วแต่สีไหนจะประทับใจ
2.3 ช่องไฟ (Space) ภายในภาพยังไม่เป็นระเบียบ สิ่งที่เขียนมักกระจัดกระจายไม่สัมพันธ์กัน
2.4 การออกแบบ (Design)ไม่ค่อยมีหรือไม่มีเลย แล้วแต่จะนึกหรือคิดว่าเป็นอย่างนั้นอย่างนี้
3. ขั้นขีดเขียน (Schematic Stage) (7-9 ปี) เป็นขั้นที่ขีดเขียนให้คล้ายของจริง และความเป็นจริง จะพิจารณาได้ตามลำดับดังนี้
3.1 คน รูปที่ออกมาจะแสดงพอเป็นสัญลักษณ์ ถ้าวาดรูปคนเราอาจไม่รู้ว่าเป็นรูปคนและภาพที่ออกมาเป็นรูปทรงเรขาคณิต เช่น ส่วนใดที่เด็กเห็นว่าสำคัญ น่าสนใจก็จะวาดส่วนนั้นใหญ่เป็นพิเศษ ส่วนไหนที่ไม่สำคัญอาจตัดทิ้งไปเลย ฉะนั้น เราจะเห็นเด็กวัยนี้วาดภาพส่วนต่าง ๆ ขาดหายไป เช่น ลำตัว ขา เท้า ฯลฯ ซึ่งไม่ใช่เรื่องประหลาดอะไรเลย บางทีอาจะเป็นเด็กหัวโต ตาโต แขนโต ฯลฯ แล้วแต่เด็กจะให้ความสำคัญอะไร ำและบางทีในรูปหนึ่งจะย้ำหลาย ๆ อย่าง ในภาพ
3.2 การใช้สี ส่วนมากใช้สีตรงกับความเป็นจริง แต่มักใช้สีเดียวตลอด เช่น พระอาทิตย์ต้องสีแดง ท้องฟ้าต้องสีฟ้า ประสบการณ์ของเด็กจะทำให้ใช้สีได้ถูกต้อง และตรงกับความเป็นจริงขึ้น ถ้าใบไม้สดต้องสีเขียว ถ้าใบไม้แห้งต้องสีน้ำตาล เป็นต้น
3.3 ช่องว่าง (Space) มีการใช้เส้นฐาน (Based line) แล้วเขียนทุกอย่างสัมพันธ์กันบนเส้นฐาน เช่น วาดรูป คน สุนัข ต้นไม้ บ้าน อยู่บนเส้นเดียวกัน ภาพที่ออกมาจะเป็นลำดับเหตุการณ์ ส่วนสูง ขนาด ยังไม่มีความสัมพันธ์กัน เช่น ดวงอาทิตย์อยู่บนขอบของกระดาษ รูปคนก็อาจสูงถึงใกล้ขอบกระดาษ เป็นต้น
3.4 งานออกแบบไม่ค่อยดี มักจะเขียนตามลักษณะที่ตนพอใจ
4. ขั้นวาดภาพของจริง (The Drawing Realism) (9-11 ปี) เป็นขั้นเริ่มต้นการขีดเขียนอย่างของจริง เนื่องจากระยะนี้ตามหลักจิตวิทยาพัฒนาการ เด็กเริ่มรวมกลุ่มกัน โดยแยกชาย หญิง เด็กผู้ชายชอบผาดโผน เดินทางไกล เด็กผู้หญิงสนใจเครื่องแต่งตัวเพื่อแต่งตัว งานรื่นเริง ฉะนั้น การขีดเขียนจะแสดงออกในทำนองต่อไปนี้ คือ
4. ขั้นวาดภาพของจริง (The Drawing Realism) (9-11 ปี) เป็นขั้นเริ่มต้นการขีดเขียนอย่างของจริง เนื่องจากระยะนี้ตามหลักจิตวิทยาพัฒนาการ เด็กเริ่มรวมกลุ่มกัน โดยแยกชาย หญิง เด็กผู้ชายชอบผาดโผน เดินทางไกล เด็กผู้หญิงสนใจเครื่องแต่งตัวเพื่อแต่งตัว งานรื่นเริง ฉะนั้น การขีดเขียนจะแสดงออกในทำนองต่อไปนี้ คือ
4.1 คน จะเน้นเรื่องเพศด้วยเครื่องแต่งตัว แต่กระด้างๆ
4.2 สี ใช้ตามความเป็นจริง แต่อาจเพิ่มความรู้สึก เช่น บ้านคนจนอาจใช้สีมัว ๆ บ้านคนรวยใช้สีสด ๆ มีชีวิตชีวา
4.3 ช่องว่าง ทุกอย่างในช่องว่างเหลื่อมล้ำกันได้ เช่น ต้นไม้บังฟ้าได้ วาดฟ้าคลุมไปถึงดินเส้นระดับ (Based Line) ค่อยหาย ๆ รูปผู้หญิงมักเน้นลวดลาย เครื่องแต่งกายมีดอกดวง รูปผู้ชายก็ต้องเป็นรูปคาวบอย การจัดวัตถุให้สัมพันธ์กันเป็นเรื่องสำคัญมากในระยะนี้ เพราะเป็นระยะแรกของพัฒนาการทางการรับรู้ทางสายตา ซึ่งจะนำไปสู่การวาดภาพสามมิติได้อีกต่อหนึ่ง
4.4 การออกแบบ ประสบการณ์ของเด็กจะทำให้การออกแบบดีขึ้น เป็นธรรมชาติขึ้นรู้จักการวางหน้าที่ของวัตถุต่าง ๆ
5. ขั้นตอนการใช้เหตุผล (The Stage of Reasoning) (11-12 ปี) ขั้นการใช้เหตุผล ระยะเข้าสู่วัยรุ่น เป็นระยะที่เด็กแสดงออกมาอย่างไม่รู้สึกตัว เช่น เอาไม้บรรทัด ดินสอมาร่อนแล้วทำเสียงอย่างเครื่องบิน เป็นต้น เด็กจะทำอย่างเป็นอิสระ และสนุกสนาน ถ้าผู้ใหญ่ทำก็เท่ากับไม่เต็มบาท ถ้าพิจารณาจากขั้นนี้จะสังเกตว่า
5.1 การวาดคน จะเห็นข้อต่อของคน ซึ่งเป็นระยะเด็กเริ่มค้นพบเสื้อผ้ามีรอบพลิ้วไหว มีรอยย่น รอยยับ คนแก่-เด็ก ต่างกัน ด้านสัดส่วนก็ใกล้ความจริงขึ้น มีรายละเอียดมากขึ้นแต่รายละเอียดที่จำเป็นเท่านั้น เน้นส่วนสำคัญที่เกินความจริง ชอบวาดตนเอง แสดงความรู้สึกทางร่างกายมากกว่าคุณลักษณะภายนอก
5.2 สี แบ่งเป็น 2 พวก พวกแรกจะใช้สีตามความเป็นจริง (Visually Minded) ส่วนอีกพวก (Non Visually Minded) มักใช้สีตามอารมณ์ และความรู้สึกตนเอง เช่น ตอนเศร้า ตอนมีความสุข มักแสดงออกโดยเน้นความสัมพันธ์ทางอารมณ์กับโลกภายนอก นับเป็นงานแสดงออกซึ่งการสร้างสรรค์งานศิลปะ
5.3 ช่องว่าง พวก Visually Minded รู้จักเส้นระดับ รูปเริ่มมี 3 มิติ โดยการจัดขนาดวัตถุเล็กลงตามลำดับ ระยะใกล้ไกล ส่วนพวก Non Visually Minded ไม่ค่อยใช้รูป 3 มิติ ชอบวาดภาพคนและมักเขียนโดยใช้ตนเองเป็นผู้แสดง สิ่งแวดล้อมจะเขียนเมื่อจำเป็นหรือเห็นว่าสำคัญเท่านั้น
5.4 การออกแบบ พวก Visually Minded ชอบออกแบบทางสวยงาม พวก Non Visually Minded มองทางประโยชน์ อารมณ์ แต่ทั้งนี้เป็นเพียงการเริ่มต้นเท่านั้น ยังไม่เข้าใจการออกแบบอย่างจริงจัง
ศิลปะของเด็กที่มีความต้องการพิเศษ
เด็กที่มีพรสวรรค์ทางศิลปะ เด็กบางคนมีความสามารถทางศิลปะแตกต่างจากเด็กส่วนมาก จึงได้รับการยกย่องว่าเป็นเด็กที่มีพรสวรรค์ทางศิลปะ การปรากฏให้เห็นแววอัจฉริยะของเด็กเหล่านี้อาจเกิดในช่วงอายุใดก็ได้แม้แต่เมื่อยังเยาว์วัย ลักษณะการวาดของเด็กพวกนี้มักมองเห็นได้ชัดว่าดีเด่น น่าสนใจกว่าเด็กทั่ว ๆ ไป ซึ่งอาจจะเป็นลักษณะของลายเส้น สี หรือ การถ่ายทอดจินตนาการ ตลอดจนความกลมกลืนของภาพ ลักษณะการวาดของเขาจะพัฒนาไปตามวัย ตามลำดับขั้นตอนเช่นเดียวกับเด็กปกติ หากแต่ระยะเวลาของพัฒนาการในแต่ละขั้นอาจใช้เวลาต่างกัน เช่น อาจอยู่ในขั้นขีดเขี่ยเพียงระยะสั้น ๆ และมักมีความสามารถในการมองเห็นความสัมพันธ์ของสิ่งต่าง ๆ ได้แจ่มแจ้ง อย่างไรก็ดี การที่เด็กสามารถวาดภาพได้ดีขึ้นนั้นขึ้นกับองค์ประกอบหลายประการ เช่น ทักษะในการใช้มือ ระดับสติปัญญาทางศิลปะ ความคล่องแคล่วในการรับรู้จินตนาการสร้างสรรค์และความสามารถในการตัดสินใจในด้านสุนทรียภาพ องค์ประกอบสามประการสุดท้ายนั้นมักเป็นผลมาจากการเลี้ยงดู ดังนั้นความสามารถทางศิลปะจึงขึ้นอยู่ทั้งพันธุกรรมและสิ่งแวดล้อม
ด้วยเหตุนี้ จึงควรระลึกไว้ด้วยว่า "เด็กที่แสดงความสามารถทางศิลปะออกมาให้เห็นเด่นชัดในวัยต้นๆ นั้นไม่จำเป็นจะต้องกลายเป็นจิตรกรหรือปฏิมากรเสมอไป ทั้งนี้เพราะว่าเด็กที่มีสติปัญญาดี และได้รับการฝึกฝนทักษะทางศิลปะอย่างดี ก็สามารถวาดภาพหรือแสดงฝีมือทางศิลปะขั้นดีได้เช่นกัน ทว่าในการวาดเพียงอย่างเดียวมิได้ทำให้คนเป็นศิลปินได้ ผู้จะเป็นศิลปินนั้นจะสามารถถ่ายทอดสิ่งรอบๆ ตัวของเขาออกมาในรูปของศิลปะได้เสมอโดยไม่จำเป็นต้องลอกเลียนแบบ"
เด็กที่มีพรสวรรค์ทางศิลปะ มักมีข้อแตกต่างจากเด็กปกติ ดังนี้
1. เด็กที่มีพรสวรรค์ทางศิลปะ มีความสามารถในการสังเกต รายละเอียดของสิ่งที่จะนำมาถ่ายทอดลงภายในได้ดีกว่าเด็กปกติ และความทรงจำจากการเห็นก็ดีกว่า ดังนั้นภาพวาดของเด็กพวกนี้จึงดีกว่า ทั้งในด้านรูปร่างลักษณะ และสีที่เลือกใช้
2. เด็กที่มีพรสวรรค์ทางศิลปะ มักจะนำเอาลีลาการเคลื่อนไหวของสิ่งต่าง ๆ ถ่ายทอดลงในภาพในขณะที่เด็กทั่ว ๆ ไป มักวาดภาพแข็ง ๆ ทื่อ ๆ
3. แม้ว่าทุกคนจะมีจินตนาการ แต่จินตนาการของเด็กที่มีพรสวรรค์ทางศิลปะจะมีมากกว่าปกติ และเขาสามารถถ่ายทอดความนึกคิดเหล่านั้นมาเสริมต่อกับสิ่งที่เขาได้รับรู้จากสายตา
4. เด็กๆ ทั่วไป มักมีข้อจำกัดในการวาดภาพ คือมี Graphic Vocabulary ต่ำ จึงทำให้ไม่สามารถวาดภาพที่ต้องการได้และมักใช้ถ้อยคำมาเพิ่มเติมในภาพเพื่ออธิบายความต้องการ หรือแนวคิดของตนแต่เด็กที่มีพรสวรรค์ทางศิลปะนั้นจะสามารถถ่ายทอดความรู้สึกนึกคิดทั้งมวลลงในภาพได้ตามที่ต้องการ
5. เด็กที่มีพรสวรรค์ทางศิลปะ จะคำนึงถึงสภาพของสิ่งต่างๆ ตลอดจนข้อจำกัดมากกว่าเด็กปกติซึ่งมักจะวาดไปเรื่อย ๆ ตามที่เห็นตัวอย่าง เช่น เด็กทั่วไปส่วนมากวาดภาพในลักษณะแบบให้มีเสมอกัน แต่เด็กที่มีพรสวรรค์ทางศิลปะจะคำนึงถึงพื้นผิวของภาพ การเลือกใช้สีจะสะท้อนออกมาถึงเงาหรือความลึกของภาพด้วย
6. เด็กที่มีพรสวรรค์ทางศิลปะ ไม่จำเป็นต้องเก่งเป็นเลิศในวิชาอื่น ๆ เขาอาจวาดรูปที่เขาสนใจได้ดีเยี่ยม เหมือนผู้ใหญ่มืออาชีพ ตั้งแต่เขายังเยาว์วัย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะต้องทำสิ่งอื่น ๆ ได้ในระดับเดียวกันนี้
7. เด็กทุกคนจะมีการลอกเลียนแบบโดยเฉพาะในการวาดภาพตามแบบที่เขาชื่นชม เด็กที่มีพรสวรรค์ทางศิลปะก็เช่นกัน หากแต่จะมีช่วงเวลาของการเลียนแบบเพียงระยะหนึ่ง หลังจากนั้นเขาจะแสดงฝีมือตามแนวของเขา ซึ่งอาจดัดแปลงจากแบบที่เขาเคยนิยมชมชอบก็ได้
เด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา
บางครั้งการวาดของเด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญาก็เป็นไปทำนองเดียวกันกับการวาดภาพของเด็กปกติที่มีอายุสมองเท่ากัน โดยทั่ว ๆ ไปแล้ว ภาพวาดของเด็กพวกนี้มักไม่ได้สัดส่วนไม่มีรายละเอียด มักวาดภาพเหมือน ๆ กัน ซ้ำ ๆ กัน และชอบวาดภาพเล็ก ๆ บนกระดาษแผ่นใหญ่ ภาพที่ปรากฏจึงมักขาดสมดุล ตัวอย่างเช่น การวาดรูปคน เด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา มีวาดแขนยาวมากหรือสั้นมากเกินไป การใช้สีก็ไม่เหมาะสมกับภาพที่วาด เด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญาโตขึ้นจะสามารถออกแบบได้ดี
พัฒนาการของเด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญาก็เป็นไปอย่างเชื่องช้ากว่าเด็กปกติ ในการวาดภาพเด็กพวกนี้มักไม่คำนึงถึงการเคลื่อนไหว เด็กผู้หญิงมักจะวาดรูปที่มีขนาดเล็กกว่าเด็กผู้ชาย และเด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญาทั้งหญิงและชายมักวาดรูปผู้ชายเล็กกว่าผู้หญิง และชอบวาดรูปเพศเดียวกับตัวเอง ให้ใหญ่กว่าด้วย
นอกจากนี้ เด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญามักต้องการกระตุ้น หรือแรงจูงใจในการวาดภาพและมักแสดงให้เห็นถึงความด้อยในการแสดงความคิด และความคล่องในการใช้มือ
ที่มา : ศาสตราจารย์ศรียา นิยมธรรม. รวมบทความเนื่องในวาระครบรอบ 30 ปี การศึกษาพิเศษ 24 ตุลาคม 2547
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น